ประวัติบ้านสระพัง บ้านสระพัง หมู่ที่ 2 ต.เสาธง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ระหว่าง กม.15-16 ทางหลวง 403
เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในที่ดินสาธารณะประโยชน์ บนเนื้อที่ 1,600 ไร่ ซึ่งประชาชนครอบครองทำมาหากินมาตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ.2491 เป็นต้นมา ในปัจจุบันมีประชากรในพื้นที่ 196 ครัวเรือน และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มีวัด,ศูนย์เด็กเล็ก (ที่ 1 ของอำเภอ) ,โรงเรียนระดับประถมศึกษา(ในพระบรมราชูปถัมภ์),โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา,สถานีอนามัย (ที่ 3 ของจังหวัด),ที่ทำการ อบต. โดยชาวบ้านในพื้นที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
แหล่งเงินทุน
พ.ศ.2544 ได้มีการก่อตั้ง ธนาคารหมู่บ้าน บ้านสระพัง มีสมาชิก 98 คน สิ้นปีมีเงินทุน 130,000 บาท ปัจจุบันมีสมาชิกเกือบ 400 คน มีเงินทุน 3 ล้านกว่าบาท ธนาคารหมู่บ้านแห่งนี้ จึงกลายเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญของคนสระพังธนาคารหมู่บ้านนั้น มีการเปิดทำการทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือน มีคณะกรรมการบริหาร 14 คน มีลูกหลานในหมู่บ้านมาช่วยงาน 6 คน ให้สมาชิกกู้ยืมทุกเดือน รวมเดือนละประมาณ 3 แสนบาท มีการปันผลให้สมาชิกทุกปี ล่าสุดร้อยละ 9 บาท มีดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 6 บาทต่อปี
การตั้งกองทุนให้เกิดในชุมชนนั้นต้องยึดหลัก 3ประการ คือ 1. กองทุนนั้นต้องเกิดจากชุมชน
2.ไม่ใช่ตั้งเพื่อรอทุนจากภายนอก และ3. สามารถแก้ปัญหาของชุมชนได้จริง
ที่มาของโฉนดช้างดำ
ความจริงชาวบ้านมีที่ดินทำกิน ที่ครอบครองทำกินมานานแล้ว แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ ทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์ แต่คนในชุมชนทราบกันดีว่าที่ดินแต่ละแปลงเป็นของใครครอบครองอยู่ จึงเกิดความคิดว่าเรามาทำเอกสารสิทธิ์ทำกินให้กับสมาชิกสักแผ่นหนึ่ง เพื่อแสดงว่าที่ดินเป็นของคนนี้จริง จึงร่วมกันทำเอกสารสิทธิ์ที่เรียกว่า “โฉนดช้างดำ”
“เรายึดรูปแบบการทำโฉนดของทางราชการ แต่นำมาปรับให้มันแตกต่างออกไป คือ ทำแบบกึ่งโฉนดใช้สัญลักษณ์ช้างดำ แทนตราครุฑ ภายในโฉนดช้างดำ ระบุ ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ผู้ครอบครอง ขนาดที่ดิน ที่ตั้งของแปลงดิน และชื่อเจ้าของของที่ดินทิศข้างเคียง ปีแรกทำการออก
โฉนดได้ 90 แปลง ปีต่อมาออกโฉนดเพิ่มอีก 47 แปลง โดยทั้งหมดเป็นที่ดินสาธารณะ เราใช้เพื่อการเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารหมู่บ้าน บ้านสระพัง เท่านั้น โดยไม่ต้องมีบุคคลมาค้ำประกัน”
สมาชิกที่นำโฉนดที่ดินมาค้ำประกันจะมีข้อตกลงกับธนาคารหมู่บ้านว่าจะต้องไม่ขายที่ดิน และเปลี่ยนมือไม่ได้ในขณะที่ค้ำประกันเงินกู้อยู่กับทางธนาคารหมู่บ้าน ถ้าจะขายต้องแจ้งให้ทางธนาคารทราบก่อน ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนมือที่ดิน 2 ราย แต่เป็นการขายให้กับคนในชุมชนเอง ไม่ได้เปลี่ยนมือไปสู่บุคคลภายนอก ซึ่งธนาคารจะทำการเปลี่ยนซื้อผู้ถือครองรายใหม่ให้
วิธีการออกโฉนดช้างดำ เริ่มจากสมาชิกธนาคารหมู่บ้านเขียนคำร้องยื่นมายังธนาคาร ต่อจากนั้นมีเกี่ยวข้อง 3 ฝ่ายร่วมกัน คือ ผู้ยื่นคำร้อง เจ้าของที่ดินข้างเคียง และคณะกรรมการธนาคารหมู่บ้าน ใช้เวลาราว 1 เดือน คณะกรรมการที่รับผิดชอบจะลงไปออกรังวัดให้ โดยยึดข้อมูลจากการทำแผนที่ทำมือ และที่ดินข้างเคียง ซึ่งก็สามารถออกโฉนดช้างดำได้ หากสมาชิกคนใดนำโฉนดมาค้ำประกันเงินกู้ ก็จะต้องนำโฉนดมาเก็บไว้กับธนาคาร
ทั้งนี้ จากการสำรวจ พบว่าชาวบ้านครอบครองที่ดินทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์ หรือที่ดินสาธารณะซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน เช่น สวนยางพารา สวนผลไม้ แปลงผัก บ่อเลี้ยงปลา สวนปาล์ม เป็นต้น จำนวน 199 ครัวเรือน โดยชาวบ้านไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือสมาชิกกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) เพราะไม่มีเอกสารสิทธิ์ จึงต้องตั้งกองทุนที่ดิน ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่ดิน ก้าวสู่กองทุนที่ดิน ในปี 2548 ชุมชนได้เข้าร่วมขบวนการแก้ไขปัญหาที่ดินกับ ศตจ.ปชช.ภาคใต้ ได้มีการจัดทำข้อมูลชุมชน แผนที่ชุมชน ต่อมาในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2549 คณะกรรมการของธนาคารหมู่บ้าน ได้จัดตั้งกองทุนที่ดินขึ้นมาหนึ่งกองทุน เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนมือของที่ดินในชุมชนไปสู่บุคคลภายนอก และเป็นเงินทุนกู้ยืมของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
กรรมสิทธิ์ของที่ดินที่กองทุนจัดซื้อมาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของกองทุนที่ดินเท่านั้น ตามระบบเอกสาร สิทธิ์ที่เป็นอยู่ใน ขณะนั้น และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากที่ดิน
นั้นให้จัดสมทบเข้ากับกองทุนสำรอง ภายใต้การควบคุมดูแลของ ธนาคารหมู่บ้าน บ้านสระพัง ปัจจุบัน (พ.ศ.2550 )กองทุนที่ดินได้เติบโตต่อเนื่อง มีสมาชิก 144 รายมีเงินกองทุน 300,000 บาท
ปัจจุบันชาวบ้านบ้านสระพังมีความตื่นตัวสูง มีการรวมกลุ่มช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากขึ้น ล่าสุดมีกลุ่มทำปุ๋ยหมัก,ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ เพื่อใช้กันเอง ทั้งนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ที่บ้านสระพัง ก็เพราะการออมทรัพย์ที่มีเป้าหมายเพื่อการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคนในชุมชน เป็นแหล่งเงินทุนของชุมชน ไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้ง แต่เอาเงินมาเป็นตัวแปร เพื่อเอื้ออาทรต่อกัน “ ในส่วนลึกของความคิดคนสระพังทุกคน หวังว่าในอนาคตกัน ไกล เมื่อถึงเวลาได้เอกสารสิทธิพวกเราขอเป็นกรรมสิทธิ์รวม (โฉนดชุมชน) เพื่อคงไว้ความคิดและวิถีของชุมชนตลอดไป ”
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้โดยชาวบ้านกลุ่มเล็กๆคิดเองทำเอง ไม่ต้องรอ พวกเราก็ทำได้
โดย นายศราวุธ สมพูเวช